[SF :SNSD] ดูแลเขาให้ดีดี
คนเรามักจะรู้คุณค่าของสิ่งๆหนึ่งก็ต่อเมื่อได้สูญเสียของสิ่งนั้นไป แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า.........โอกาสแก้ตัวของคุณยังเหลืออยู่มั้ย
ผู้เข้าชมรวม
3,188
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[SF-SNSD] ดูแลเขาให้ดีดี
อีกคืนแล้วสินะที่ฉันพยายามข่มตานอนให้หลับเพื่อที่จะได้มีแรงต่อสู้กับวันใหม่ หากแต่ทำได้แค่คิดเท่านั้นเมื่อตอนนี้........ฉันพาตัวเองขึ้นมาบนดาดฟ้าอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมเวลานอนไม่หลับฉันถึงต้องขึ้นมาบนนี้อยู่เรื่อย มานอนนับดาวที่อยู่บนท้องฟ้าจนกว่าร่างกายมันจะสั่งการให้เผลอหลับไปเองด้วยความอ่อนเพลีย
คงเป็นเพราะ........ที่แห่งนี้มันมีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับเราสินะ ตอนที่เราคบกันใหม่ๆฉันชอบพาเธอขึ้นมานอนดูดาวที่นี้ เวลาลมหนาวพัดมาเราสองคนก็โอบกอดกันแน่น เธอจะรู้มั้ยนะว่าตอนนั้นฉันมีความสุขแค่ไหนที่เราได้เฝ้ามองดาวดวงเดียวกันและได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน แล้วตอนนี้.........เธอจะรู้บ้างมั้ยว่าฉันต้องเฝ้ามองมันเพียงลำพัง คืนแล้วคืนเล่า รู้บ้างมั้ยว่าการนับดาวโดยไม่มีเธอมันเหงาแทบขาดใจ เวลาที่ลมหนาวพัดมาทีไรฉันก็ทำได้เพียงกอดตัวเองอยู่อย่างนั้นและหวังว่า.........เธอจะกลับมาสักที กลับมาหาฉัน กลับมาอยู่ในที่ของเราดังเช่นวันวาน ได้โปรด........ยกโทษให้คิมแทยอน คนโง่ที่ปล่อยให้ของมีค่าที่สุดหลุดลอยจากไปคนนี้อีกสักครั้งได้มั้ย หากเธอยอมยกโทษให้ คิมแทยอนคนนี้ขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผู้หญิงที่ชื่อฮวัง ทิฟฟานี่ ต้องเสียใจ เสียน้ำตาอีกแล้ว ตอนนี้ฉันยอมแลกทุกอย่างขอเพียง........ให้เธอกลับมานั่งเคียงข้างกันบนดาดฟ้าอีกครั้งก็พอ
“ฉันรักเธอได้ยินมั้ยฟานี่!! ฉันรักเธอ!!”
“เมื่อไหร่กัน!!.....ที่เธอจะกลับมาหาฉัน” ประโยคแรกตะโกนเสียจนดังก้องไปทั่วราวกับจะให้คนทั้งโลกได้รับรู้สิ่งที่อยู่ภายในใจหากแต่ประโยคหลังกลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บางเบาจนแทบจับความไม่ได้นอกเสียจากตัวฉันเองเท่านั้นที่ได้ยินชัดเจนทุกคำ ประโยคที่ฉันเอ่ยออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาเกือบสามเดือนเต็มได้แล้วตั้งแต่ที่คนรักของฉันหายไปโดยไม่ติดต่อกลับมาหาแม้แต่ครั้งเดียว ไปแจ้งความก็แล้ว จ้างนักสืบตามหาก็แล้ว
ติดป้ายประกาศหาก็แล้วหากแต่เงียบหายไม่มีข่าวคราวของเธอให้ฉันได้ใจชื้นขึ้นบ้างเลย หรือว่านี่มันคือบทลงโทษที่สาสมสำหรับคนอย่างฉันแล้วใช่มั้ยที่ทำให้เธอต้องผิดหวังในตัวฉันเสมอมา เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการทำได้แค่รอมันทรมานมากมายถึงเพียงนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฉันใช้มือขยี้ตาตัวเองเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสให้เข้าที่เนื่องจากแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาเต็มใบหน้าทำเอาฉันที่นอนหลับอยู่บนดาดฟ้าต้องตื่นขึ้นด้วยความสลึมสลือ หากแต่ฉันไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยที่ตัวเองมานอนอยู่บนนี้เพราะมันได้กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตของฉันไปแล้ว ฉันลุกขึ้นยืนพลางบิดกายเล็กน้อยเป็นการยืดเส้นยืดสายเนื่องจากการนอนบนพื้นแข็งๆทำเอาหลังของฉันปวดเมื่อยไปหมด เสร็จแล้วจึงเดินกลับลงไปที่ห้องของตัวเองเช่นเคยเพื่อที่จะได้ไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า....” เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาสิ่งแรกที่ฉันทำก็คือนับจำนวนรองเท้าที่วางอยู่บนชั้นซึ่งมันยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อีกนานแค่ไหนกันที่ฉันต้องนับรองเท้าทุกวันอย่างกับคนบ้าฉันเฝ้าถามตัวเองและคำตอบที่ได้รับก็คือจนกว่าจำนวนรองเท้าจะเพิ่มขึ้นโดยใครอีกคนซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นมั้ยวันที่ฉันจะได้นับเลขหกอีกครั้งนึง
“ฟานี่ ฉันใส่เสื้อตัวนี้แล้วนะ” ฉันเอ่ยขณะที่มองดูเสื้อผ่านกระจกตรงหน้าซึ่งฉันใส่มันได้พอดีราวกับว่าฉันเป็นคนซื้อเองแต่เปล่าเลยเสื้อตัวนี้คนรักของฉันเป็นคนซื้อให้ต่างหากแต่ตอนที่เธออยู่ฉันกลับไม่มีโอกาสได้ใส่มันให้เธอได้ชื่นใจเลยสักครั้งเดียวแถมยังทำให้เธอเสียความรู้สึกอีก นึกแล้วอยากจะชกหน้าตัวเองให้สมกับสิ่งที่ทำกับคนรักไว้บ้าง
“แท วันนี้ใส่เสื้อตัวที่ฟานี่ซื้อให้นะ” ร่างบางเอ่ยบอกคนรักด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นคนรักเดินออกมาจากห้องน้ำขณะที่ในมือของเธอถือไม้แขวนเสื้อที่มีเสื้อเชิ้ตสีชมพูแขวนอยู่
“เสื้อสีชมพู ฉันไม่ใส่หรอกนะฟานี่” ฉันเอ่ยพลางขำออกมากับความคิดของคนรัก รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ชอบสีชมพูและไม่เคยมีเสื้อสีชมพูแม้แต่ตัวเดียว แต่ทิฟฟานี่กลับซื้อเสื้อสีชมพูมาให้แถมมีลายหมีอยู่ตรงหน้าอกอีกคิดว่าฉันจะยอมใส่มันงั้นหรอ ไม่มีทาง
“แต่ว่ามันน่ารักดีออกนะ ฟานี่อุตส่าห์เลือกตั้งนาน” ทิฟฟานี่ว่าพลางดึงตัวคนรักเข้ามาใกล้ก่อนจะทาบเสื้อลงบนตัวคนตรงหน้าที่เอาแต่ส่ายหัวไม่เห็นด้วย
“ฉันไม่ชอบสีชมพูฟานี่ก็รู้ แล้วจะซื้อมาทำไมเนี่ย”
“ก็ฟานี่ชอบนี่นา ไม่รู้แหละฟานี่อยากให้แทใส่”
“ไม่เอาอ่ะ ฉันไม่ใส่”
“ใส่นะ นะนะ แทนะ”
“เอ๊ะ!! พูดไม่รู้เรื่องหรอไง ก็บอกว่าไม่ใส่ไงเล่า.....” คำพูดของฉันทำให้ทิฟฟานี่หยุดการกระทำได้ชะงักรวมทั้งตัวฉันเองด้วยที่ตกใจกับคำพูดของตัวเองไม่แพ้กัน
“เอาไว้วันหลังค่อยใส่แล้วกัน” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนรู้ดีว่าคำพูดนี้ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของคนตรงหน้าดีขึ้นมาได้หากแต่ฉันปากหนักเหลือเกินไม่กล้าที่จะเอ่ยคำว่าขอโทษให้คนรักได้รับรู้ความรู้สึก
“ไม่เป็นไร ฟานี่ผิดเองแหละ รู้ทั้งรู้ว่าว่าแทไม่ชอบสีชมพู” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นทั้งที่พยายามยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะเดินออกไป ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะว่าเธอเสียความรู้สึกกับการกระทำของฉันมากแค่ไหนแต่คนอย่างฉันมันง้อใครไม่เป็นและในชีวิตก็ยังไม่เคยง้อใครด้วย
“เสื้อที่เธอซื้อให้ฉันไงล่ะ ฉันอยากให้เธอดูมันเวลาที่ฉันใส่” เอ่ยพลางใช้มือไล้ตามเนื้อผ้าที่ตอนแรกจากสีชมพูเข้มเริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีชมพูอ่อนลงเรื่อยๆตามกาลเวลา ตั้งแต่คนรักหายไปฉันกลับใส่มันแทบจะทุกวันราวกับว่าสิ่งนี้เป็นตัวแทนความรักระหว่างเรา แทนความคิดถึงและความโหยหา คิดแล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวเดินออกมาจากห้องแต่ก็ไม่วายที่จะเจอกับภาพเดิมๆที่ฉายชัดขึ้นทุกตำแหน่งที่ฉันกับคนรักเคยใช้มันร่วมกัน
“ฉันกินอาหารเช้าจนเบื่อแล้วนะฟานี่ ตอนนี้ฉันอยากกินฝีมือของเธอแล้ว” ได้แต่คิดในใจขณะที่แทซีเรียลลงในถ้วยตรงหน้าก่อนจะยกกล่องนมเทต่อแล้วพาตัวเองไปนั่งลงบนโต๊ะอาหารที่มีเก้าอี้ตั้งหลายตัวทว่ากลับมีฉันเพียงผู้เดียว มันอ้างว้างมากเหลือเกิน ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการทานอาหารเช้าคนเดียวมันเหงาแค่ไหนถ้าย้อนกลับไปได้ฉันคงไม่ทำอย่างนั้น ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอใช้ช่วงเวลาแบบนั้นตามลำพังอีกแล้ว
“แท เดี๋ยวทานอาหารเช้าก่อนนะแล้วค่อยไป ฟานี่ทำซุปเห็ดของโปรดของแทแล้วก็ปิ้งขนมปังทาเนยไว้ให้ด้วย”
ทิฟฟานี่ตะโกนบอกฉันทั้งที่เธอยังคงง่วนอยู่ในครัวเล็กๆของห้อง ดูท่าทางเธอคงอยากจะให้ฉันอยู่ชิมฝีมือของเธอเอามากแต่ว่าฉันต้องรีบไปทำงานคงไม่มีเวลามากพอที่จะทานมื้อเช้าได้
“สายแล้ว วันนี้มีประชุมแต่เช้า ฉันอยู่ทานไม่ได้” ฉันเอ่ยตอบขณะที่ทิฟฟานี่เดินออกมาจากครัวพร้อมถ้วยซุปเห็ดของโปรดของฉันพอดี
“แต่แทต้องทานมื้อเช้านะ ไม่งั้นจะคิดงานออกได้ยังไงกันล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไว้ค่อยทานมื้อเที่ยงทีเดียวเลยก็ได้” ฉันตอบอย่างขอไปที ก็รู้ว่าว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดแต่สำหรับฉันงานสำคัญกว่า ทำให้คนที่ได้รับคำตอบส่ายหัวอย่างไม่พอใจกับนิสัยของฉัน
“กินอะไรรองท้องก่อนเถอะนะ” ทิฟฟานี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่เดินมาประชิดตัวฉันแล้วฉวยเอากระเป๋าทำงานที่อยู่ในมือของฉันไปถือแทน พร้อมกับจ้องมองฉันด้วยดวงตาคู่สวยที่ฉันรู้ดีว่าเธอต้องการจะบอกว่าเธอห่วงใยฉันมากแค่ไหน แต่ก็อีกแหละ ฉันมันไม่เคยทำตามหัวใจตัวเองเลยดีแต่ทำในสิ่งที่คิดว่ามันถูกต้อง
“ทำไมฟานี่ชอบเซ้าซี้จัง ก็บอกแล้วไงว่าจะรีบไป ส่งกระเป๋ามาเร็วเข้า” ฉันเอ่ยอย่างขัดใจพร้อมกับดึงกระเป๋าในมือคนรักกลับคืนก่อนจะเดินออกไปจากที่ตรงนั้นโดยไม่ได้เหลือบมองใบหน้าหวานซึ้งของคนรักเลยแม้แต่น้อย
แล้วเป็นยังไงล่ะ ตอนนี้ต้องมานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว คงพอใจแล้วสินะ ไล่ให้เค้าออกไปจากชีวิตได้ ตอนนี้อยากทำอะไรก็ไม่มีคนมาคอยเตือนคอยทวงถามอีกแล้ว ความจริงฉันควรจะมีความสุขไม่ใช่หรอแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกตรงกันข้ามเหลือเกิน อยากได้ยินเสียงที่คอยเฝ้าถามนู้นถามนี้ อยากให้เธอกลับมาเซ้าซี้กวนใจฉันอย่างที่เคย มันจะเป็นไปได้มั้ยนะ คำขอของฉันมันอาจจะฟังดูมากเกินไปแต่ว่า.........พอจะช่วยให้คนที่มันเพิ่งรู้ตัวว่าสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคนนี้หน่อยจะได้มั้ย อย่างน้อยขอแค่ให้ฉันได้ทำดีกับเธอบ้าง ให้เธอได้รู้ว่าฉันก็รักเธอไม่น้อยกว่าที่เธอรักฉัน ให้ฉันได้ทำหน้าที่คนรักที่ดีเพื่อเธออีกสักครั้งจะได้มั้ย ฉันคิดพลันน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้มก่อนที่ฉันจะใช้มือตัวเองปาดหยดน้ำตาออกอย่างลวกๆ อีกครั้งแล้วที่ฉันนั่งทานอาหารเช้าแล้วต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องของเรา
“ว่าไงไอแท ทำไมแกถึงตาบวมขนาดนั้นว่ะ?” ซูยองเพื่อนรักเพื่อนตายของฉันเอ่ยทักทายยามเช้าทันทีที่เห็นร่างของฉันเดินมาถึงโต๊ะทำงานที่ติดกับโต๊ะของมัน ซึ่งฉันไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มตอบกลับไปเจื่อนๆเท่านั้นทำให้ซูยองหุบยิ้มสดใสเมื่อกี้ลงอย่างเสียไม่ได้
“ไอแท ฉันไม่ได้อยากจะซ้ำเติมแกนะเว้ยแต่ว่าตอนที่ฟานี่อยู่แกทำอะไรไว้กับเค้าบ้างแกเองก็รู้ดี แล้วคิดหรอว่าเค้าจะกลับมาอยู่กับคนอย่างแกอีก เพราะอย่างนั้นฉันอยากให้แกตัดใจสักทีเถอะ เห็นแกเป็นแบบนี้ฉันก็ทุกข์ใจเหมือนกันนะ”
“ฉันรู้ว่าฉันทำให้ฟานี่เจ็บช้ำมามากมายแต่ ฉันแค่อยากขอโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้ง แค่อยากทำหน้าที่คนรักที่ดีเพื่อฟานี่บ้าง มันมากไปหรือไงไอซู แค่เนี่ยมันมากไปใช่มั้ยห่ะ??” ฉันเอ่ยทั้งน้ำตาก่อนจะหันหลังใส่เพื่อนรัก
รู้ว่าซูยองเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน ไม่อยากให้ฉันใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆอย่างกับคนที่ไม่มีหัวจิตหัวใจเพียงเพราะรอคอยการกลับมาของใครบางคน ดังนั้นซูยองจึงไม่อยากพูดอะไรให้กระทบกระเทือนจิตใจของฉันอีกเธอจึงนั่งทำงานต่อไปส่วนฉันก็ลงมือทำงานของตัวเองเช่นกัน
ขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่นั้นจู่ๆเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นฉันจึงล้วงหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับจ้องมองหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอที่ไม่คุ้นเคยก่อนจะกดรับสาย
(สวัสดีค่ะ นั่นใช่คุณแทยอนรึเปล่าคะ??)
“ค่ะ ฉันแทยอนพูดสาย”
(คืออย่างนี้นะคะ...............)
“จริงหรอคะ!! โอเคคะ ได้ค่ะ ค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ แล้วเจอกันค่ะ” ฉันกดวางสายก่อนจะกระโดโลดเต้นด้วยความดีใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนอย่างไม่อายสายตาพนักงานบริษัทที่นั่งอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยพร้อมกับตรงเข้าไปกอดเพื่อนรักอย่างซูยองที่งงกับพฤติกรรมของฉันเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“เฮ้ย แกเป็นอะไรเนี่ย อยู่ดีๆก็กระโดดโลดเต้นอย่างกับคนบ้า มีเรื่องอะไรน่าดีใจนักหนาห่ะ??”
ซูยองถามฉันด้วยความสงสัยหากแต่ฉันไม่ได้ตอบคำถามเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะไม่ได้ฟังคำพูดของซูยองเลยแม้แต่น้อยตอนนี้ฉันทั้งดีใจระคนตื่นเต้นเสียจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
“วันนี้ฉันลางานนะ ฝากบอกหัวหน้าด้วย ไปละ” ไม่บอกเปล่ามือคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายก่อนจะสาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉันขับรถออกมาด้วยความเร็วสูงเนื่องจากฉันรอเวลาที่จะได้เจอคนรักอีกครั้งแทบจะไม่ไหว ไม่น่าเชื่อว่าแผ่นป้ายประกาศที่ฉันเที่ยวแปะไปทั่ววันนี้มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อใครคนหนึ่งได้รับรู้ข่าวนั้นจากแผ่นกระดาษที่ติดอยู่ที่เสาไฟฟ้าและโทรศัพท์มาหาฉันเพื่อบอกว่าเขาเจอคนที่มีใบหน้าคล้ายกับคนในรูปซึ่งก็คือทิฟฟานี่นั่นเอง ไม่นานฉันก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนัดคนๆนั้นเอาไว้ ภายหน้าเป็นคอนโดหรูที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางใจเมืองซึ่งเป็นแหล่งของเหล่าคนมีอันจะกินถ้ากระเป๋าไม่หนักพออย่าคิดแม้แต่จะย่างกายเข้ามาในเขตนี้เป็นอันขาด ยืนรอไม่นานนักร่างเล็กของใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับถาม
“เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณใช่คุณแทยอนรึเปล่า??”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง แทยอน แล้วคุณคือคุณซันนี่ใช่มั้ยคะ??...”
“ค่ะ ฉันเองที่โทรไปหาคุณ”
“ขอบคุณมากนะคะที่โทรมาบอก แล้วคุณซันนี่เจอฟานี่ที่ไหนหรอคะ??”
“คอนโดนนี้แหละค่ะ แต่ตอนนี้พวกเค้าไม่อยู่ที่ห้องกันหรอก เห็นขับรถออกไปเมื่อตอนบ่าย อีกไม่นานคงกลับเข้ามา”
“พวกเค้า?? ฟานี่ไปกับใครงั้นหรอคะ??”
“สงสัยจะเป็นแฟนกันมั้งคะ ท่าทางสนิทสนมเกินกว่าเพื่อนธรรมดาทั่วไป”
“แฟนงั้นหรอ??”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ เพราะเห็นย้ายมาอยู่ที่นี้ตั้งหลายเดือนแล้ว ฉันพักอยู่ที่นี้ก็เลยเห็นผู้หญิงคนที่คุณตามหาก็เลยโทรบอกเฉยๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันรออยู่แถวนี้ก็ได้ค่ะ ไม่รบกวนคุณซันนี่แล้วดีกว่า ขอบคุณมากๆนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นฉันไปก่อนนะคะ” ร่างเล็กเอ่ยก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้ฉันนั่งรอคนรักด้วยความรู้สึกที่ว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตื่นเต้นที่จะได้เจอคนรักอีกครั้งหากอีกใจนึงกลับรู้สึกหวาดกลัวในเมื่อคำพูดที่ได้ยินเมื่อกี้ถ้ามันเป็นเรื่องจริงฉันคงทำใจยอมรับไม่ได้ และฉันก็ไม่ต้องคิดนักอีกต่อไปเมื่อภาพตรงหน้าเป็นคำตอบได้ดีว่าสิ่งที่ร่างเล็กพูดมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่เมื่อรถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโดก่อนจะมีร่างสูงของใครคนหนึ่งลงมาจากรถเพื่อเปิดประตูให้กับร่างบางที่นั่งอยู่ข้างคนขับและเพียงร่างบางก้าวออกมาจากรถเท่านั้นใจของฉันก็เต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะเพราะฉันยังคงจำได้ดีว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นใครและมีความสำคัญต่อตัวฉันมากเท่าไร
สิ้นเสียงรีโมตล็อครถยนต์คันหรูทั้งสองคนก็พากันเดินโอบกอดกันไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองฉันที่ยืนอยู่ห่างแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ทำไมดูเธอมีความสุขเหลือเกินเมื่ออยู่กับเค้าคนนั้น เธอยิ้มให้เค้าเมื่อเค้าสบสายตาเธอ เค้าคงดีกับเธอมากใช่มั้ยถึงไม่คิดแม้แต่จะโทรมาบอกลาฉันสักคำ ภาพเมื่อกี้ของเธอกับเค้ามันทำให้ฉันแทบจะขาดใจเธอรู้บ้างมั้ยทิฟฟานี่
“ยูล มิยองลืมของไว้ในรถอ่ะ เดี๋ยวมิยองไปเอาของที่รถนะแล้วเดี๋ยวตามขึ้นไป”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเอาให้ มิยองขึ้นห้องไปเถอะ” ร่างสูงบอกพลางใช้มือขยี้ผมของทิฟฟานี่คนที่เธอเรียกว่ามิยองอย่างเอ็นดูทำให้ฉันอดเคืองไม่ได้เมื่อเห็นใครมาทำกับคนรักของตัวเองแบบนี้
“ก็ได้ งั้นรีบตามขึ้นไปนะ” แต่แค่นั้นไม่ทำให้ฉันใจหายได้เท่ากับการที่ทิฟฟานี่ดึงร่างสูงเข้ามาหอมแก้มราวกับว่าเธอกับเค้ารักกันเสียมากมายขนาดนี้ แล้วฉันคนนี้ล่ะ เธอลืมไปแล้วอย่างนั้นใช่มั้ย ฉันไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอแล้วใช่มั้ย ฉันทำได้เพียงแค่มองบทรักหวานซึ้งของคนทั้งคู่แล้วก็พูดไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอก่อนที่ฉันจะตัดสินใจเดินตามร่างสูงที่เดินกลับไปที่รถ
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าเคยเห็นคนในรูปนี้บ้างมั้ย??” ฉันแสร้งเอ่ยถามร่างสูงขณะที่นำรูปถ่ายของคนรักยื่นให้อีฝ่ายดูซึ่งเมื่อเค้าเห็นบุคคลในนั้นก็ถึงกับมองฉันด้วยสายตาตกใจ
“คุณเป็นญาติของเค้าจริงๆหรอ??”
“เอ่อ ฉันเป็นเพื่อนของเธอน่ะ ไม่ทราบว่าคุณเคยเห็นคนในรูปนี้บ้างรึเปล่า??
“เคยสิ ตอนนี้มิยองอยู่กับฉันน่ะ”
“เธอชื่อทิฟฟานี่ต่างหาก ทำไมคุณถึงเรียกเธอว่ามิยองล่ะ??”
“ก็มิยองไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร ฉันก็เลยตั้งชื่อให้เธอ”
“หมายความว่ายังไง?? ฟานี่จำชื่อตัวเองไม่ได้”
“พอดีเมื่อสองสามเดือนที่แล้วฉันเจอมิยองนอนสลบอยู่ข้างถนนสงสัยคงจะถูกรถชนแล้วหนี ฉันเลยพาเค้ามาส่งโรงพยายาบาลน่ะ หมอบอกว่าสมองของมิยองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรงทำให้ความทรงจำในอดีตหายไปตอนนี้มิยองจำอะไรเกี่ยวกับตัวเธอเองไม่ได้เลยสักอย่าง ฉันไม่รู้จะทำยังไงก็เลยพามาอยู่ด้วยกันที่นี้น่ะ”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากปากของร่างสูงฉันเองถึงกับทำอะไรไม่ถูก ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นกับคนรัก ช่วงเวลานั้นฉันควรจะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเธอ คอยดูแลเธอต่างหากไม่ใช่ใครคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
รู้สึกผิดมากเกินกว่าจะให้อภัยตัวเองได้
“เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปหามิยองนะ” ร่างสูงเอ่ยแต่ฉันไม่ได้ตอบเพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงตกลงเท่านั้นก่อนจะเดินตามเค้าไป
“ทำไมไปเอาของ....” น้ำเสียงที่ดูสดใสของร่างบางเงียบลงด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นใครอีกคนที่ไม่คุ้นตาเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับร่างสูง ทำให้ฉันเองกลัวเหลือเกินว่าเธอจะจำฉันไม่ได้เหมือนกับคนอื่นๆที่เธอลืมเลือนไปจนหมดสิ้น
“มิยอง นี่แทยอนเพื่อนของมิยองไงจำได้มั้ย??” เมื่อเห็นท่าทีของทิฟฟานี่ที่มองใครอีกคนด้วยสายตาหวดกลัว ร่างสูงจึงพูดอธิบายขึ้น
“ฟานี่ ฉันแทยอนไง จำฉันไม่ด้งั้นหรอ??” ฉันเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับมองเธอด้วยแววตาที่รู้สึกผิด อยากจะพูดขอโทษเธอสำหรับทุกเรื่องที่เคยทำให้เธอต้องเจ็บช้ำน้ำใจเพียงเพราะคนไม่เอาไหนอย่างฉัน อยากจะบอกให้เธอได้รู้ว่าฉันรักเธอเหลือเกินแต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่สำคัญอีกแล้ว ขอเพียงเธอจำฉันคนนี้ได้ก็พอ อย่างน้อยฉันจะได้รู้ว่าตัวเองยังมีค่าพอให้เธอจดจำ
“ยูล มิยองกลัว มิยองไม่รู้จักเค้า มิยองไม่รู้จักแทยอน” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นก่อนจะโผกอดร่างสูงแน่นราวกับฉันจะทำอันตรายแกเธอ ท่าทางแบบนั้นไม่ได้ทำให้ฉันเสียใจเท่ากับคำพูดของเธอเลย เธอจำฉันไม่ได้ ฉันไม่มีค่าพอให้เธอจดจำ แค่ประโยคไม่กี่คำที่เธอเอ่ยออกมาทำเอาหัวใจของฉันแตกสลายเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
“ไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะคะ ยูลอยู่นี้ไงไม่ต้องกลัวนะคนดีนะ” เค้าปลอบโยนเธอพลางใช้มือลูบแผ่นหลังอันบอบบางซึ่งมันควรเป็นฉันต่างที่ควรทำหน้าที่นั้นกับเธอ แล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของคนทั้งคู่
“วันนี้คุณกลับไปก่อนดีกว่าค่ะ แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรไปหา” ร่างสูงเอ่ยบอกขณะที่ยังคงปลอบโยนคนที่อยู่ในอ้อมกอด
“คุณกับฟานี่.....เป็นอะไรกัน?”
“ฉันเอ่อ เรา.....” ร่างสูงพูดตะกุกตะกักไม่ยอมตอบ
“ฉันกับยูลเรารักกัน คุณกลับไปซะเถอะ ฉันไม่ต้องการรู้จักใครในอดีต ฉันมียูลคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
สิ้นคำพูดของทิฟฟานี่ฉันก็ไม่อยากจะถามอะไรต่อและไม่มีคำถามอะไรจะถามต่ออีกแล้วเช่นกัน ในเมื่ออดีตคนรักของฉันตอบคำถามออกมาในรูปแบบแบบนั้น แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอีกถ้าฉันจะบอกเธอว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อน เป็นมากกว่าคนรู้จัก เป็นดั่งลมหายใจของกันและกัน และมันคงไม่มีประโยชน์อีกแล้วถ้าฉันจะขอเธอคืนจากเขาในเมื่อดูเธอรักเค้ามากมายขนาดนี้
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอให้เธอโชคดีแล้วกันนะ ถึงเธอจะลืมฉัน แต่อยากให้รู้ไว้ว่าฉันไม่มีวันลืมเธอ”
ฉันเอ่ยกับเธอเป็นประโยคสุดท้าย พลางมองใบหน้าหวานซึ้งอีกครั้งให้เต็มตาซึ่งยังคงงดงามเหมือนเคย
และฉันคงไม่มีโอกาสได้มองใบหน้าแบบนั้นของเธออีกแล้ว ไม่มีจริงๆ
“เดี๋ยว!! คุณแทยอน รอด้วย” ร่างสูงตะโกนเรียกขณะที่วิ่งตามฉันมาจนถึงหน้าลิฟต์
“คุณอย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะ ฉันเชื่อว่าถ้าคุณมาหามิยองบ่อยๆมิยองอาจจะจำคุณได้”
“ตอนนี้ฉันไม่ต้องการให้ฟานี่จำฉันได้อีกแล้วล่ะ แต่ฉันอยากจะขอร้องคุณเรื่องเดียวจะได้มั้ย??”
“อะไร??”
“ช่วยดูแลเธอ เอาใจใส่เธอ รักเธอให้มากกว่าฉันก็พอ” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไป
หากคิดในแง่ดีอย่างน้อยฉันก็ยังได้รู้ว่าเธอได้อยู่กับคนที่เค้ารักและเอาใจใส่เธอมากกว่าฉัน เธอคงจะอยู่อย่างมีความสุขเสียที ส่วนฉันก็ต้องยอมรับความจริงที่มันสมควรจะลงเอยแบบนี้อยู่แล้ว ดำเนินชีวิตต่อไปถึงแม้ว่าหัวใจดวงนี้ยังคงรอคอยเธออยู่ลึกๆ ยังหวังว่าเธอจะกลับมา ยังหวังว่าเธอจะยกโทษให้ ยังหวังว่าฉันจะได้ทำหน้าที่คนรักที่ดีตอบแทนความรักที่เธอมีให้กับฉันบ้าง ถึงแม้มันจะเป็นแค่ความหวังลมๆแล้งๆก็ตาม
..................ดูแลรักเขาให้ดีๆ อยู่กับเขาไปให้นานๆ.................
...................มีเพียงเท่านี้จะใช้เป็นคำส่งท้าย
...................ดูแลรักเขาให้ดีๆ และจากนี้ไปเรื่องนี้จะจบ................
....................ตัดใจเสียที เธอได้คนดี..................
.....................ก็หมดเวลาฉัน ตั้งแต่นี้ ฉันขอลาก่อน
.
.............................................................................................
หวังว่าคงจะชอบกันนะคะสำหรับเรื่องนี้ สำหรับตัวไรต์เตอร์เองคิดว่ามันเศร้ามากเลยนะ
ถ้าเราทำผิดพลาดแล้วไม่มีโอกาสได้แก้ตัว
ปล. ที่ผ่านมายุ่งกับเรื่องกีฬาสีมากมายเลยไม่มีเวลา
มาอัฟเรื่อง bleeding love เลย ดองไว้จนเค็มมากแล้ว 555
คิดว่าไม่นานคงมาอัพค่ะ แล้วเจอกันน้า
ช่วนเม้นท์เป็นกำลังใจให้ด้วย
ผลงานอื่นๆ ของ Pedestrian ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Pedestrian
ความคิดเห็น